หลังจากที่ได้เห็นตัวละครหลักของ attack on titan ที่เป็นอดีตทหารฝึกหัดฝึกรุ่น 104 มาถึงจุดนี้ของเรื่องราวในปัจจุบันรวมถึงคนที่ไม่ได้ไปต่อ ก็เกือบลืมไปเหมือนกันว่าที่ผ่านมาพวกเขาต่างก็เป็น ‘เด็ก‘ กันมาก่อน และถึงวันนี้ก็ยังเป็นเด็กวัยรุ่นเท่านั้นเอง แต่เป็นเด็กที่ผ่านมาอะไรมามากมาย ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขา ‘ผ่านมันมาด้วยกัน วันนี้เลยอยากมาชวนไปทบทวนให้เหมือนย้อนกลับไปดูใหม่อีกรอบว่าตั้ งแต่แรกเริ่มที่เรารู้จักตัวละครหลักทุกคนและเฝ้าดูมองเห็นพวกเขาเติบโตอย่างใกล้ชิดแบบมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมด้วย เด็กๆ เหล่านี้ทั้ง เอเรน, มิคาสะ, อาร์มิน, แจน, คอนนี่, ชาช่า, ไรเนอร์, เบอร์โทลท์, แอนนี่, ฮิสทอเรีย และยูมีร์ พวกเขาแต่ละคนมีพัฒนาการยังไง เติบโตกันยังไงบ้าง อยู่แห่งหนไหน เจอเหตุการณ์อะไรที่สำคัญ ตัดสินใจอะไร และตอนนี้มีสถานะยังไงบ้างก่อนที่เรื่องราวจะดำเนินไปสู่จุดสิ้นสุด ทั้งหมดนี้จะเป็นการพูดถึงความสัมพันธ์ที่น่าสนใจของแต่ละตัวละคร แล้วท้ายที่สุดจะเห็นได้ว่าจากตอนนั้นถึงตอนนี้พวกเขาเติบโตขึ้นแค่ไหน
attack on titan แอนนี่ และมิคาสะกับอาร์มิน
attack on titan แอนนี่ เลออนฮาร์ท (Annie Leonhert) มีบุคลิกที่ดูไม่สนใจใคร และไม่สนโลก เธอมีความตั้งใจจะฝึกทหารเพื่อเข้ากองสารวัตรที่วันๆ ไม่ต้องทำอะไรเท่าไหร่นัก มีหน้าที่ ตำแหน่ง และใช้ชีวิตสุขสบายกว่าหน่วยอื่นๆ แต่นั่นเป็นเพียงการปกปิดตัวตนที่ว่าเธอคือไททันหญิง และเธอจะได้ใช้ช่วงเวลาที่พ้นสายตาเพื่อนที่ร่วมฝึกมาด้วยกัน ในการใช้เครื่องเคลื่อนที่สามมิติกับแปลงร่างเป็นไททันได้โดยที่ไม่มีใครรู้ ซึ่งหลังจากไททันหญิงโผล่มาครั้งแรก จะสังเกตเห็นได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง แอนนี่ กับตัวละครสองตัวคืออาร์มินและมิคาสะ
สำหรับอาร์มิน เหมือนเขาจะปลื้มเธออยู่ห่างๆ บุคลิกของแอนนี่และอาร์มินดูจะไม่เข้ากันได้ แต่อาร์มินคุยกับแอนนี่ทีไรก็มักจะแสดงอาการเขินๆ เสมอ แม้ทั้งคู่จะไม่สนิทกันแต่แอนนี่ก็มองอาร์มินเป็นเพื่อนที่ดี นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เธอไม่ฆ่าอาร์มิน และแอนนี่ดูจะเสียใจไม่น้อยที่ทำให้อาร์มินผิดหวังที่เธอเป็นไททันหญิงซึ่งฆ่าคนของหน่วยสำรวจไปมาก รวมถึงเป็นพวกเดียวกับสัตว์ประหลาดที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล ด้วยสติปัญญาอาร์มินเป็นคนที่วางแผนจับแอนนี่ได้สำเร็จ แม้แผนนี้จะเปลี่ยนชื่อเป็นแผน ‘เปิดโปงตัวไททันหญิงและสู้กับไททันหญิงกลางเมือง’ ก็ตาม
อีกคู่ที่น่าสนใจคือความสัมพันธ์ระหว่างแอนนี่กับมิคาสะ แบบ ‘เส้นขนานที่ไม่มีวันมาบรรจบกัน’ แอนนี่และมิคาสะต่างก็เป็นระดับ top 2 ของรุ่นที่คนต่างก็ยอมรับฝีมือว่าเก่งกาจและไร้เทียมทาน ทั้งคู่จึงได้ฉายาว่าเป็นคู่แข่งกันแบบกลายๆ แม้ว่าต่างคนต่างก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดขี้หน้ากันก็ตาม ใน Attack on Titan: Lost Girl ขยายความเป็นคู่ขนานนี้ของทั้งสองตัวละครได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการให้เกิดสนทนาเกี่ยวกับการที่ทั้งคู่สู้ไปเพื่ออะไร ทำให้ทั้งสองคนต่างก็ได้คิดเรื่องของตัวเอง นอกจากนี้ยังมีฉากที่มิคาสะเจอแหวนแอนนี่ด้วย นั่นจึงเมคเซนต์ว่าทำไมมิคาสะเห็นแหวนแล้วถึงได้รีบบอกให้อาร์มินกับเอเรนหนีไป และแสดงให้เห็นว่ามิคาสะไม่ไว้วางใจแอนนี่ตั้งแต่ตอนนั้น ส่วนสำหรับแอนนี่แม้บทสนทนาจะทำให้เธอรู้สึกว่าเป็นไปได้ไม่อยากให้เหตุการณ์ต่อจากนั้นเกิดขึ้น แต่มันก็เลี่ยงไม่ได้ จึงเป็นอะไรที่อิมแพ็คไม่น้อยเมื่อแอนนี่กลายร่างเป็นไททันหญิง และคนที่ปิดฉากเธอด้วยการตัดนิ้วในช่วงเวลาที่กำลังจะปืนกำแพงหนีพร้อมกับพูดว่า “ตายไปซะ” คือมิคาสะ น่าเสียดายที่เราไม่ได้รู้เลยว่าตอนที่มิคาสะปกป้องเอเรนขณะซ้อมต่อสู้จากแอนนี่และกำลังจะเกิดmatch of the century ใครเป็นคนชนะ เพราะภาพตัดไป และในตอนนี้หลังจากโดนมิคาสะตัดนิ้วและเอเรนจัดการจนหมดทางสู้ เธอก็ได้กลายเป็นคริสตัลและอยู่ในชั้นใต้ดินนับตั้งแต่ตอนนั้น
ไรเนอร์ บราวน์ และ เบอร์โทลท์ ฮูเวอร์
สำหรับตัวละครไรเนอร์ บราวน์ (Reiner Braun) แม้สงครามไททันจะเริ่มจากการค้นพบพลังเมื่อสองพันปีที่แล้วและต่อมากรีช่า เยเกอร์จะพาน้องสาวไปยังเขตหวงห้ามก็ตาม ตัวละครสำคัญที่จุดชนวนและเป็นเหตุที่ทำให้เรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่เราได้เริ่มเป็นพยานจนถึงตอนนี้เริ่มต้นขึ้นคือไรเนอร์
ไรเนอร์มีหลายสิ่งหลายอย่างต้องแบกรับและมันคือการตัดสินใจที่ไม่สามารถหวนกลับได้ หลังจากภารกิจล้มเหลวและไททันกรามถูกกินไป แทนที่จะหันหลังกับเขากลับลุกขึ้นมาเป็นผู้นำและสั่งให้เดินหน้า จึงเกิดการบุกทำลายเขตทรอสต์และทำลายกำแพงของวอลล์มาเรียขึ้น แล้วแฝงตัวร่วมกับเบอร์โทลท์และแอนนี่เข้ามาเป็นสปายคอยหาจังหวะชิงตัวไททันจู่โจมกลับมาตุภูมิประเทศมาเล มันเป็นความเจ็บปวดมาตลอดที่เขาเริ่มสนิทชิดเชื้อและรู้สึกถึงความเป็นพี่น้องกับหลายๆ คน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าไรเนอร์มีหัวใจตั้งแต่ยังไม่ได้เล่าย้อนความจริงอีกมุม เพราะในบางครั้งเขาถึงกับแสดงออกมาเป็นอีกบุคลิกด้วยความที่ตัวเองรับไม่ได้กับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป
อย่างเช่นตอนที่มาร์โก้ไปได้ยินเขาพูดเรื่องไททันเข้า ไรเนอร์จำใจต้องฆ่าปิดปากโดยการยึดเครื่องสามมิติไว้และปล่อยให้เขาตายทั้งที่ในใจลึกๆ ก็ไม่อยากทำ และจะเห็นว่าหลายครั้งเขาช่วยให้เพื่อนรอดจากภัยอันตรายด้วยใจ เช่นตอนที่ติดอยู่ที่ปราสาทร้างยามค่ำคืนและต้องเผชิญกับไททันจำนวนมาก ไรเนอร์เอาตัวเองเข้าแลกเป็นโล่เพื่อปกป้องเพื่อนๆ เบอร์โทลท์ถึงได้บอกว่าเขาไม่ใช่นักรบอีกต่อไปแล้ว
ด้วยความที่ส่วนใหญ่เขาจะเป็นคนพึ่งพาได้ ทำให้ไรเนอร์มาสนิทกับเอเรนตอนฝึกซ้อมต่อสู้กับตอนฝึกทรงตัว จึงเป็นเรื่องสะเทือนใจไม่น้อยสำหรับไรเนอร์ที่ต้องได้ยินว่าเอเรนจะฆ่าไททันให้หมด ซึ่งในฉากที่เขาบอกว่าทั้งหมดที่ต้องการคือแค่อยากกลับบ้านเกิดเท่านั้นเอง และการทรยศของไรเนอร์กับเบอร์โทลท์กับเมื่อเอเรนรู้ว่าทั้งสองเป็นไททันที่เขาเกลียดชังที่สุด เพราะเป็นเหตุให้แม่เขาเสียชีวิตส่วนบ้านเกิดก็พังพินาศ จึงส่งผลต่อจิตใจของเอเรนมหาศาล น้ำตาของเอเรนที่หลั่งรินมาเกินขึ้นจากสองส่วนผสมกันคือน้ำตาแห่งความเศร้าและความผิดหวัง กับอีกส่วนคือน้ำตาของความแค้น แค้นที่ไว้ใจและเชื่อใจมาตลอด แม้จะลักพาตัวเอเรนไปแล้ว ไรเนอร์ยังแสดงความรู้สึกผิดผ่านบทสนทนาเพียงแต่ตอนนั้นทั้งเอเรนและคนดูต่างก็ไม่เข้าใจเหตุผลเนื่องจากอ.อิซายามะจงใจชี้นำให้เรารู้สึกตามเอเรน
แต่ไรเนอร์มีเหตุผลของตัวเอง เขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและกับมันมาตลอดตั้งแต่ตอนพังกำแพงจนถึงตอนที่เวลาล่วงเลยไป 5 ปีหลังจากกลับมายังบ้านเกิดดังที่จะเห็นว่าเขาอยากที่จะฆ่าตัวตายและดูจากการแปลงร่างแล้วดูไม่มีกระจิตกระใจจะสู้เอามากๆ แต่เขาก็ไม่ได้ง้างไกปืนเพราะเชื่อว่าทุกอย่างจะจบลงที่เด็กนักรบไททันรุ่นใหม่ ฉะนั้นในเมื่อเด็กๆ ติดไปกับเรือเหาะแล้วถูกพาตัวกลับไปยังเกาะสวรรค์ ไรเนอร์จึงต้องการแก้ไขอดีตทั้งหมด เขาข้ามพ้นอดีตและสู้เพื่ออนาคตที่ตัวเองเชื่อ แสดงให้เห็นถึงความไม่ลังเลอีกต่อไปที่จะเสนอให้บุกไปช่วยเหล่านักรบเด็กกับชิงพลังไททันบรรพบุรุษมา รวมไปถึงการต่อสู้ที่ทุ่มสุดตัวด้วยเช่นกัน “เอเรน นายไม่ควรได้พลังนี้ที่สุด” ไรเนอร์ยังคงพูดคำเดิม ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ส่วนเอเรนก็ไม่ได้รู้สึกว่าไรเนอร์เป็นเพื่อนอีกต่อไปเช่นกัน เขาเองก็ต้องทำในสิ่งที่ต้องทำ
ส่วน เบอร์โทลท์ ฮูเวอร์ (Bertholdt Hoover) เขามักจะไปไหนมาไหนกับไรเนอร์แบบที่เรียกว่าตัวติดกันก็ว่าได้ เบอร์โทลท์ดูไม่ค่อยพูดและไม่ค่อยแสดงออกอะไรเท่าไหร่ ดูเป็นคนกล้าๆ กลัวๆ แต่ไม่เคยลืมอุดมการณ์และเป้าหมายว่าตัวเองมาที่เกาะเพื่ออะไร บางทีการที่เขาอยู่แต่กับไรเนอร์ส่วนนึงก็เพื่อไม่เอาตัวเองไปเข้าใกล้ศัตรูมากเกินไป ไม่เช่นนั้นจะเกิดความลำบากใจและมันอาจนำมาซึ่งภารกิจที่ล้มเหลวได้ หากพูดถึงตัวละครที่จางที่สุดตอนเป็นคนเบอร์โทลท์เป็นหนึ่งในนั้น แต่หากพูดถึงตอนเป็นไททันแล้วเบอร์โทลท์มีความโดดเด่นและบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก
ด้วยร่างไททันมหึมาสูง 50 เมตร เขาเป็น ‘ตัวจัดการยาก’ ของมนุษยชาติในกำแพง จริงๆ แค่ขนาดก็ทำให้คนขวัญหนีดีฝ่อได้แล้ว เบอร์โทลท์ทำตั้งแต่พังประตูครั้งแล้วครั้งเล่า ไปจนถึงโกยบ้านเรือนเผาทำลายเพื่อขัดขวางไม่ให้ภารกิจตัดสินชะตากรรมที่เขตชิกันชินะสำเร็จ ต้องใช้ชีวิตและสติปัญญาของอาร์มินเข้าแลกถึงเอาชนะมาได้เพราะพลังไอน้ำกับขนาดมหึมาทำให้เอาชนะได้ยาก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเบอร์โทลท์หลังจากเปิดตัวว่าเป็นไททันเขาปราศจากความกลัว ความรู้สึกผิด และเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นซึ่งอาร์มินมองเห็นตรงนี้ชัด นั่นคือสิ่งที่น่ากลัวกว่าไททัน 50 เมตร
ในฉากบอกลาบนกำแพงและเดินไปคนละทิศละทางเป็นฉากที่สื่อความหมายได้เป็นอย่างดีว่าจากนี้ไปจะต่างคนต่างทำให้ดีที่สุด แม้ลึกๆ จะรู้ว่ามีโอกาสตาย เชื่อว่าความคิดในหัวของทั้งสองนั้นไม่คิดถึงตรงนั้นเลยแม้แต่น้อย แต่คิดเพียงว่าจะทุ่มสุดตัวยังไงถึงจะชนะ จบเรื่องนี้ และกลับมาเจอกันอีกครั้ง แล้วก็นั่นแหละ.. เบอร์โทลท์ไปอยู่ในท้องอาร์มิน ส่วนไรเนอร์คู่ชกสุดไม้เบื้อไม้เมากำลังดวลมวยครั้งสุดท้ายกับเอเรนในร่างไททันทั้งคู่
ฮิสทอเรีย & ยูมีร์
ความสัมพันธ์คู่นี้เป็นความสัมพันธ์ในเชิงเข้าใจกัน ทั้งคู่ต่างก็เป็นคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการ ฮิสทอเรียหรือที่ในตอนแรกชื่อคริสต้าเป็นคนที่นึกถึงผู้อื่นเสมอ (selfless) มันมาจากเบื้องลึกของเธอที่ตอนเด็กขาดคนรักคนดูแล และขาดความอบอุ่นความเอาใจใส่ เธอจึงมีนิสัยเช่นนี้เพราะไม่ต้องการให้ใครรู้สึกเหมือนตัวเอง นิสัยซื่อๆ ตรงนี้เกิดเป็นความต้องการที่ยูมีร์จะปกป้อง แม้อ.อิซายามะไม่ได้ชี้ชัดว่านี่เป็นความสัมพันธ์แค่เพื่อนหรือมากกว่านั้นแต่ก็ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบ สายใยที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองก็ตัดไม่ขาดและผูกพันกันมากกว่าที่ทั้งสองคนเองจะตั้งคำถาม ช่วงเวลาที่ทำให้ทั้งสองคนรู้จักกันดีคือช่วงที่ทั้งคู่แบกเพื่อนกลับบ้านพักตอนหิมะตกหนัก เหตุการณ์นั้นทำให้อิสทอเรียได้เรียนรู้ว่าตัวเองอยากมีชีวิตอยู่
ส่วนยูมีร์รู้สึกอยากปกป้องเธอไม่ว่าจะแลกมาด้วยอะไรก็ตาม ยูมีร์ที่ไม่อยากถูกปฏิเสธอีกแล้วหลังจากตัวเองมีปูมหลังยอมแม้กระทั่งกลายร่างเป็นไททันเพื่อปกป้องเธอ และนั่นเป็นโมเม้นต์ที่ทั้งคู่ได้รู้จักกันจริงๆ เมื่อคริสต้าเผยชื่อว่าตัวเองชื่อ ‘ฮิสทอเรีย’ ในช่วงที่มีการชิงตัวคริสต้า สิ่งที่ยูมีร์คิดมีแต่ฮิสทอเรีย ในขณะที่ฮิสทอเรียยอมที่จะไปกับยูมีร์เพื่อช่วยยูมีร์ให้มีชีวิตอยู่ แม้ไม่รู้ว่าไปแล้วเธอจะปลอดภัยหรือไม่และจะต้องเจอกับอะไรก็ตาม ซึ่งท้ายที่สุด มันจบลงด้วยการที่ยูมีร์ไปช่วยไรเนอร์กับเบอร์โทลท์ ส่วนตัวเองภายหลังได้กับมาเลและถูกฟัลโก้ แกลเลียต กินเพื่อรับช่วงต่อ ไม่สิ ต้องบอกว่าทวงพลังไททันกรามของพี่ชายคืนมาน่าจะถูก
บุคลิกความกล้าหาญของฮิสทอเรียฉายแววตั้งแต่ตอนนั้นและเราจะได้เห็นแง่มุมนี้ของตัวละครนี้มากขึ้นเมื่อเธอมีบทบาทสำคัญขึ้นตามเรื่องราว หลังจากที่มีการล้มราชาหุ่นเชิดและเปิดเผยว่าตระกูลรีสต์คือตระกูลสายเลือดผู้ปกครองที่แท้จริง ฮิสทอเรียก็มีบทบาทมากขึ้น เธอสามารถเลือกได้ว่าจะให้ความสงบสุขดำเนินต่อด้วยการกินเอเรนแล้วให้ลูกหลานกินกันต่อๆ ไปเรื่อยๆ เป็นวงจรอุบาทว์ แต่เธอกลับเลือกทางที่แตกต่างพร้อมกับพูดว่า “ถ้าโลกจะพังก็ให้มันพังไปเลย” เพราะเธอมีจุดยืนแล้วว่าเธอเลือกพวกพ้องมากกว่าเรื่องพลังไททัน และเชื่อว่าพวกพ้องจะอยู่ด้วยกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
แม้ว่าฮิสทอเรียจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการสังสารไททันร็อด รีสต์ หรือพ่อของเธอจนได้รับการยอมรับแล้ว ปัจจุบันเธอแต่งงานกับฟาร์มเมอร์คุง ชายที่เคยแกล้งเธอตอนเด็ก นั่นเป็นการแสดงวิถีการถ่อมตัวและติดดินของฮิสทอเรีย และเธอยังคงทำตัวเป็นกันเองกับเพื่อนเสมอ ในขณะเดียวกันเอเรนเองก็เห็นตรงนี้ของฮิสทอเรีย เขาถึงได้ไม่บอกใครเพราะต้องการปกป้องเธอจากการถูกจับไปใช้งานหากรู้เงื่อนไขการใช้พลังไททัน และเอเรนต้องการจะตอบแทนฮิสทอเรียที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ด้วยการให้เธอได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่ให้มายุ่งกับเรื่องการเมืองสุดโกลาหลและสงครามไททันที่กำลังดำเนินอยู่นี้เป็นอันขาด
แจน คอนนี่ และชาช่า
สามเพื่อนซี้ที่ไปไหนไปด้วยกันเสมอ แจน เคอร์สไตน์ (Jean Kirstein) ฉายา ‘หน้าม้า’ บุคลิกชอบขัดคอคนอื่นและชอบหาเรื่องเอเรน, คอนนี่ สปิรงเกอร์ (Connie Springer) ผู้เป็นผู้ตามและไม่ค่อยฉลาดนัก กับชาช่า เบราส์ (Sasha Braus) ที่ค่อนข้างจะเซ่อซ่าและซุ่มซ่าม เรามักจะเห็นสามคนนี้ร่วมเฟรมกันประจำ แม้ทั้งสามคนจะไม่ได้มีบทบาทเด่น แต่เมื่อเวลามาถึงพวกเขาก็จะเป็นกำลังสำคัญในยามที่เพื่อนต้องการ พูดง่ายๆ คือเป็นสหายสายซัพพอร์ตที่ขาดไม่ได้ ทั้งสามเป็นกำลังสำคัญให้กับตัวละครหลักอย่างกลุ่มเอเรนในยามที่ต้องการเสมอ แม้กระทั่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่เอเรนดูจะห่างเหินและเข้าใจไม่ได้ที่สุดแล้วก็ตาม
ในสามคนนี้มีเพียงชาช่าที่ไม่ได้ไปต่อ การตายของเธออันเกิดจากกระสุนที่ได้รับคืนจากการที่เธอยิงกระสุนใส่ตำรวจที่กาบิสนิทด้วยก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ของเรื่อง โดยก่อนตายเราจะเห็นได้ว่าชาช่าเป็นคนเฉียบขาดและดูเฉยชาต่อการฆ่ามากขึ้น นึกย้อนกลับไปแม้มีหลายครั้งที่ชาช่าทำแผนเกือบล้มเหลวและดูไม่เก่งซักด้านนอกจากกินเก่ง และความรักเพื่อนและพลังบวกฮาๆของเธอมักสร้างเสียงหัวเราะให้กับเพื่อนๆเสมอ แต่นั่นคือจุดแข็งของชาช่า คนที่ทำให้เพื่อนยิ้มออก หลังจากการตายของเธอกับความตึงเครียดที่กำลังก่อตัวขึ้นหลังผู้สนับสนุนเอเรนลุกฮือ ทุกคนก็หัวเราะไม่ออกอีกต่อไป ชาช่าได้มีโมเมนต์ที่แสดงถึงความกล้าหาญและน่าจดจำที่สุดคือช่วยคายะจากไททันโดยการยิงธนูและกระโดดเอามีดปักตาระยะประชิด แสดงให้เห็นว่าคนแบบเธอก็เป็นฮีโร่ได้ น่าเสียใจแทนคอนนี่กับแจนที่ไม่รู้เลยว่าการกอดกันหลังขึ้นเรือเหาะคือการกอดครั้งสุดท้าย
เอเรนและผองเพื่อน
ปิดท้ายด้วยตัวเอกของเรากับเพื่อนๆ ของเราที่เขารักยิ่ง เอเรนเป็นพระเอกก็จริงแต่จะว่าก็ว่า เขามักเป็นตัวถ่วงให้กับทีมเสมอ เป็นพระเอกที่แม้มีพลังไททันแต่ก็เหมือนมีพลังให้ไปสู้เพื่อแพ้แต่เอเรนไม่ได้สำคัญตัวผิด แม้เขาจะเป็นคนสำคัญที่สุดในเรื่องราวนี้ก็จริง แต่ไม่ได้เป็นพระเอกแบบ imposter syndrome หรือประเภทที่เข้าใจว่าตัวเองสำคัญที่สุดเอง เอเรนมักจะก่นด่าและโทษตัวเองที่ทำให้คนต้องตายและช่วยใครไว้ไม่ได้ โดยเฉพาะการที่ทำให้คนอื่นต้องมาเสี่ยงและลำบากเพราะเขา
ต่อมาการที่เอเรนไปบุกมาเลคนเดียวแล้วเรียกกำลังเสริม ทำให้เราได้เห็นพัฒนาการตัวละครนี้และเราสามารถพูดว่า ‘เอเรนเก่งสมเป็นพระเอก’ ได้ซะที จากการใช้พลังที่คล่องแคล่วขึ้น ชาญฉลาดขึ้น และแข็งแกร่งขึ้นจากเดิมมาก อีกทั้งนั่นยังเป็นการแสดงถึงความ ‘ไอบ้าที่ชอบไปตาย’ ที่ดูจะเติบโตขึ้นตามอายุของเอเรนด้วยเช่นกัน การที่เอาตัวเองไปเสี่ยงเพื่อการใหญ่เช่นนี้ ในซีซั่น 4 มีฉากย้อนกลับไปยังช่วงเหตุการณ์รอยต่อระหว่างซีซั่น 3 กับ 4 ช่วงที่พวกเขาทำรางรถไฟกัน บทสนทนาช่วงนั้นที่แต่ละคนเสนอตัวว่าจะรับช่วงต่อพลังไททันจากเอเรนและจบลงด้วยการหน้าแดงเพราะเขาพูดอะไรซึ้งๆออกไป บทสนทนานี้แสดงถึงเจตจำนงของเอเรนว่าเขาต้องการจะปกป้องเพื่อนพ้องและเพื่อนของเขากับเกาะที่เป็นบ้านเกิดแห่งนี้สำคัญที่สุด เอเรนยอมที่จะสู้กับทั้งโลกได้ถ้าจำเป็น และดูเหมือนว่าในตอนนี้ช่วงเวลานั้นสำหรับเขาได้มาถึงแล้ว
มีฉากที่ดูแล้วปวดใจแทนคือฉากที่คอนนี่พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องฆ่าเอเรน” แม้เอเรนจะพูดจาแย่ๆ ใส่มิคาสะกับปล่อยมัดรัวเหมือนเรื่องโจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ ใส่อาร์มิน ที่นับเป็นการทำร้ายเพื่อนสองคนที่เขารักและสนิทที่สุด รวมไปถึงทำอะไรโดยพลการโดยที่ไม่ปรึกษาใครซักคนแม้กระทั่งสองคนนี้ ซึ่งนั้นเป็นจุดที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเพื่อนแตกเป็นเสี่ยงๆ มีแต่คำถาม ความไว้ใจหดหาย พอเจอประโยคนั้นเข้าไปก็ทำให้จุกเหมือนกันว่าจากตอนนั้นที่ทุกคนรักกันมาก เรื่องมาถึงจุดที่จะต้องฆ่ากันเองแล้วหรอ? ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับคอนนี่ที่พูดก็เพราะต้องทำสิ่งที่ต้องทำเนื่องจากเขารู้สึกว่าไม่รู้จักเอเรนอีกต่อไปแล้ว หรือจริงๆ แล้วอาจไม่เคยรู้จักเลย แต่อย่างไรก็ตาม ในยามที่เอเรนต้องการความช่วยเหลือ แม้แผนของเขาคือร่วมมือกับซีคในการการุณยฆาตให้ชาวเอลเดียรวมถึงเพื่อนๆ ของเขามีลูกไม่ได้อีกต่อไป เพื่อนๆ ก็ยินดีพร้อมที่จะช่วยแล้วหลังจากนั้นค่อยว่ากัน มันอาจเป็นความน่าสับสนอยู่บ้างว่าควรเอายังไงกับเรื่องนี้ดี แต่สัญชาติญาณพวกเขาก็บอกว่าเอเรนกำลังทำเพื่อพวกเรา ส่วนเอเรนจะทำเช่นนั้นมั้ยหรือเขาทำเพื่อเพื่อนจริงและเรื่องมันบานปลายไปกว่านั้นคงต้องรอดูกันต่อไป
จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ทุกคนโตขึ้นมากและเจออะไรกันมาเยอะพอสมควร จากเด็กม.ต้นอายุราวๆ 15 เป็น 19-20 และพวกเขาต่างก็มีทางเลือกที่จะต้องตัดสินใจ สู้ ไม่สู้ หรือสู้เพื่อใครไม่สู้เพื่อใคร มาคิดๆ ดูแล้วรุ่น 104 เป็นทหารฝึกหัดรุ่น ‘กอบกู้โลก’ จริงๆ ฝั่งไรเนอร์กับอีกสองคนกู้โลกด้วยวิธีที่มีและถูกปลูกฝังมาตลอด ส่วนเอเรนกู้โลกในแบบของเขาและด้วยไพ่ในมือที่มีมากกว่าคนอื่น กับเพื่อนๆ ของเขาที่เหลือจะกู้โลกในแบบของตัวเองจากการตัดสินใจครั้งนี้ อีกทั้งยังไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าในบรรดาตัวละครเด่นๆ ทั้ง 12 คนนี้ 5 คนเป็นไททัน ในช่วงที่ตัวละครเริ่มทยอยเป็นไททันทีละคนจนอดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าทำไปทำมาทุกคนจะเป็นไททันกันหมดเลยใช่มั้ย แล้วก็เป็นเช่นนั้น พวกเขาเป็นลูกหลานไททันจริงๆ ตอนนี้สงครามระหว่างเชื้อสายไททันในฐานะตัวแทนมาเลกับลูกหลานไททันแห่งเกาะสวรรค์กำลังห้ำหั่นกันเองเพื่อให้ทุกอย่างจบลงที่นี่ ดูถึงตรงนี้ได้แต่ภาวนาว่า ไม่จำเป็นต้องจบแบบรอดทุกคนหรือทุกคนได้สุขสมหวัง เพราะจากที่ดูมาแต่แรก Attack on Titan ไม่ใช่เรื่องราวอะไรทำนองนั้น หากแต่นำเสนอถึงความเป็นจริงอันโหดร้ายของสงครามและมุมมองที่แตกต่าง แต่อย่างน้อยๆ ให้ทุกคนได้จบบทบาทของตัวเองในแบบที่เหมาะสมที่สุดก็เพียงพอแล้ว attack on titan