attack on titan ตอน จบ ในขณะที่อนิเมะ Attack on Titan ดำเนินมาได้เกินครึ่งทางจนเกือบจะจบซีซั่นแล้ว ฝั่งมังงะต้นฉบับที่เพิ่งออกตอนล่าสุดมาเมื่อไม่กี่วันก่อนเองก็ใกล้ (ใช้คำว่าจวนเจียนถึงจะถูก) จบแล้วเช่นกัน เพราะเหลืออีกแค่ 1 ตอนเท่านั้นก่อนที่เรื่องนี้จะอวสานและปิดตำนานไปตลอดกาล เนื่องจากฝั่งมังงะกำลังเป็นที่พูดถึงอย่างเข้มข้นในขณะนี้ กับภาพทุกอย่างชัดขึ้นกว่าเดิมมาก The MATTER จึงได้ลองวิเคราะห์และตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับบทสรุปของมหากาพย์ไททันอันยาวนานมาไว้ให้แล้ว
(เนื้อหาส่วนนี้เปิดเผยข้อมูลของ Attack on Titan เท่าที่ตีพิมพ์แบบรวมเล่ม)
1. ทั้งหมดเป็นการวนลูป ความฝัน หรือภาพนิมิตที่เอเรนมองเห็นล่วงหน้า ที่มีจักรวาลคู่ขนานเข้ามาเกี่ยวข้อง attack on titan ตอน จบ
“มันเหมือนกับว่าฉันฝันไปนานมาก ฝันเรื่องอะไรจำไม่ได้เลย”
“ว่าแต่เอเรน เธอร้องไห้ทำไมน่ะ”
attack on titan ตอน จบ ในตอนแรกสุดของมังงะ Attack on Titan ‘To you, 2,000 years from now’ หลายคนคงจำได้ดีว่า ฉากเปิดตัวของเอเรนกับมิคาสะ เริ่มต้นที่มิคาสะที่มีผ้าพันคอ พูดกับเอเรนว่า “ไว้เจอกันนะ เอเรน” ก่อนที่เอเรนจะตื่นขึ้นเพราะมิคาสะปลุก แล้วเอเรนก็ทักเธอว่า “นี่ผมเธอยาวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันน่ะ?” ก่อนที่เขาก็น้ำตานองอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว
ฉากนี้ที่เอเรนตื่นขึ้นจากความฝันอันยาวนานที่สมจริงจนเขาต้องร้องไห้ ยิ่งอ่านยิ่งดูเชื่อว่าหลายๆ คนคงคิดเหมือนกันว่า มันจะต้องมีความเชื่อมโยงกับบทสรุปของ Attack on Titan ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งในขณะเดียวกันมีอีกฉากนึงที่เป็นการเน้นย้ำทฤษฎีนี้ นั่นก็คือในอนิเมะตอนที่ 7 ที่มิคาสะน้ำตาไหลออกมาเมื่อเธอตัดสินใจสู้หลังชนฝากับไททันที่กำลังรุกคืบเข้ามา ตอนนั้นสิ่งที่อยู่ในหัวเธอคือ “ฉันจะไม่ยอมแพ้ เอเรน ถ้าฉันตายไป ฉันก็จะไม่สามารถนึกถึงเรื่องของนายได้อีกแล้ว”
จากฉากนี้ทำให้เกิดการคาดเดาได้ว่า อาการปวดหัวของเอเคอร์แมนที่เกิดขึ้นกับมิคาสะที่มี host ที่ผูกติดเชื่อมโยงคือเอเรน อาจไม่ใช่อาการปวดหัวจากการถูกสั่งการ แต่เป็นการปวดหัวเพราะเห็นความทรงจำร่วมกันกับเอเรน หรือความเป็นจริงคู่ขนานที่เกิดขึ้นไหลเข้ามาในหัวไม่หยุดหย่อน
คนที่อ่านมังงะมาแล้วคงจำ plot twist ครั้งใหญ่ได้ดีว่า Attack on Titan มีลูปพาราด็อกซ์หรือลูปความขัดแย้งของเวลาเกิดขึ้น จากการที่เมื่อเอเรนใช้พลัง หรือคุณสมบัติพิเศษแห่งไททันจู่โจมที่จะสามารถรับรู้อนาคตของผู้ครอบครองพลังคนถัดไปได้ ผนวกกับความสามารถในการพาไปดูความทรงจำในอดีตของซีคที่เป็นเชื้อสายราชวงศ์ ส่งผลให้เขาสื่อสารและสั่งการให้กรีช่า พ่อของเขาทำสิ่งเลวร้ายที่ตัวเองไม่อยากทำ จนส่งผลเป็นทอดๆ มาอย่างที่เราได้ดูกันไป วนลูปแบบหนังไซไฟแบบนี้ไม่รู้จักจบสิ้น
ฉะนั้นเมื่อเกี่ยวกับลูปและเจตจำนง เป็นไปได้สูงว่า Attack on Titan จะจบลงไม่ทางใดก็ทางหนึ่งใน 2 ข้อนี้ ได้แก่
- จบลงที่ฉากที่เอเรนตื่นขึ้นน้ำตาไหล และทุกอย่างวนลูปไปอย่างนี้เรื่อยๆ เพื่อสะท้อนว่า มนุษย์อาจไม่เคยมีเจตจำนงเสรีเลย มนุษย์มักเป็นทาสของความคิด ของความรู้สึกต้องรับผิดชอบ ของตัวเอง ของหน้าที่ หรือของอะไรบางอย่าง รวมถึงบ่งบอกด้วยว่า สงครามและความเกลียดชังไม่มีวันจบสิ้น ส่วนทุกเหตุการณ์ที่เราได้ดูกันไป ก็ได้แต่วนซ้ำ และทุกตัวละครต้องเผชิญกับชะตากรรมเดิมต่อไป
- จบแบบแก้ลูปได้สำเร็จด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ลูปพังทลาย และทุกคนเป็นอิสระ ซึ่งนี่สะท้อนถึงธีมของไททันจู่โจมและสิ่งที่เอเรนต้องการ ให้กับตัวเองและเพื่อนๆของเขาเป็นอย่างดี นั่นก็คือ ‘อิสรภาพ’
2. เอเรน ผู้แบกภาระทุกอย่างไว้คนเดียว
ในอนิเมะตอน 59 ของ Attack on Titan หรือตอนจบซีซั่น 3 ที่ชื่อว่า ‘The Other Side of the Wall’ มีฉากที่เอเรนจุมพิตมือของราชินีฮีสทอเรีย รีสต์ ขณะนั้นเกิดกระแสไฟฟ้าและเอเรนก็ได้เห็นภาพผ่านสายตาของผู้ครอบครองพลังไททันจู่โจมคนก่อนอย่างกรีช่าไหลเข้ามา ส่งผลให้สีหน้าเขาไม่สู้ดีนัก และทั้งคนดูคนอ่านกับตัวละครที่อยู่ข้างๆ ก็ต่างงงไปตามๆ กัน และภาพที่เอเรนเห็นก็คือความทรงจำที่ตัวเขาเองใช้พลังผ่านซีคในการบงการพ่อ ทำให้เกิดเหตุการณ์ทั้งหมดตามมา หรือก็คือคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดคือเขาเองนั่นเอง จากนั้นจะสังเกตเห็นได้ชัดว่า สีหน้าของเอเรนเปลี่ยนไปตลอดกาล ในอีพีนั้นและต่อจากนั้นเขาไม่มีความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกเลย (ซึ่งแน่นอน หลังจากที่ได้รับรู้ความจริงตรงนี้) แม้กระทั่งได้เห็นทะเลที่เขากับอาร์มินฝันจะได้เห็นได้สัมผัสมาโดยตลอด นั่นเพราะเขาเคยเห็นมันแล้วผ่านความทรงจำของพ่อ และทะเลไม่ใช่อิสรภาพที่แท้จริง ตราบใดที่โลกภายนอกยังมองว่าชาวเกาะสวรรค์เป็นปีศาจร้าย และศัตรูที่แท้จริงยังอยู่
“ถ้าฆ่าศัตรูที่อยู่อีกฟากของทะเลนั่น
เราทุกคนจะได้เป็นอิสระจริงๆ ซะทีใช่มั้ย?”
เชื่อว่านับตั้งแต่ตอนจุมพิตหรือฉากทะเลดังกล่าว เอเรนได้วางแผนในการทำอะไรๆ คนเดียวมาโดยตลอด ในเนื้อหามังงะที่พูดถึงการกระทำของเอเรนที่คิดเองทำเองคนเดียว รวมถึงกองกำลังสนับสนุนเอเรน มันอาจดูเหมือนว่าเขาเปลี่ยนไปเป็นปีศาจที่เหี้ยมโหดไปแล้ว แต่ยังมีข้อมูลอื่นๆ บ่งบอกอีกว่า แม้เอเรนจะพูดจาตัดขาดกับเพื่อนและทำทุกอย่างด้วยตัวคนดียวไม่บอกใคร ทั้งหมดที่เขาทำก็เพื่อเพื่อน เพื่อบ้านเกิดของเขา จะได้เป็นอิสระจริงๆ ซักที ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม และเมื่อพูดเรื่องนี้พร้อมๆ กับเรื่องของลูป เป็นไปได้สูงมากว่าสิ่งที่เอเรนกำลังทำนั้น เขากำลังพยายามแก้ไขตรงนี้อยู่ เขาที่เป็นผู้อยู่เหนือลูปและให้กำเนิดลูป อาจได้เผชิญกับเส้นทางต่างๆ มานับไม่ถ้วน และได้ลองวิธีการต่างๆ ไปหลายรอบแล้ว (นั่นเป็นสาเหตุที่สีหน้าของเขานิ่งเฉย ไม่ต่างจากตัวเอกของ Edge of Tomorrow ที่พยายามวนบลูปมาเป็นร้อยเป็นพันรอบก็ไม่มีทางชนะและคนที่เขารักต้องตายเสมอ) จนรู้สึกว่า ไม่ว่าใคร หรือแม้กระทั่งตัวเขาเอง ก็เป็นเพียงเบี้ยของวังวนไม่จบไม่สิ้นแค่นั้นเอง นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เอเรนดูไร้อารมณ์ความรู้สึก ผิดกับเอเรนที่เราเคยเห็นมาตั้งแต่แรกเริ่ม
หากเป็นไปตามนี้ สิ่งที่เอเรนทำ จึงเป็นการแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว ด้วยพลังที่เขามี เขาสามารถหยุดยั้งสงครามและความเกลียดชัง และให้อิสรภาพแก่ชาวเกาะสวรรค์ได้ ซึ่งหมายถึงการทำอะไรด้วยวิธีการที่ไม่เคยลอง และสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในมังงะที่ใกล้จะจบเต็มทีนี้ คือทางออก คือวิธีการหนึ่งที่เขาคิดว่าดีที่สุดที่จะเป็นได้สำหรับทุกๆ คนแล้ว
3. เป้าหมายที่แท้จริงของเอเรน คือ แผนการเดียวกับหนัง Watchmen
หลายคนอาจไม่ทราบว่า Attack on Titan ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Watchmen พอสมควร ทั้งในการสร้างตัวละคร รวมถึงความสีเทาของตัวละครและเนื้อเรื่อง จึงไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เป้าหมายของเอเรน จะเป็นเป้าหมายที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากแผนการของตัวละคร Ozymandias โดยในหนัง Watchmen Ozymandias ได้ทำสิ่งที่เขาคิดว่าดีที่สุดต่อมนุษยชาติในขณะนั้นที่อเมริกากับโซเวียตเขม่นกันไม่หยุดหย่อนจนมีแนวโน้มว่าจะเกิดเป็นสงครามโลกครั้งใหม่ ด้วยการใส่ร้าย Dr. Manhattan และทำให้เขาเป็น public enemy number one ที่ผ่านมาเราจะเห็นแล้วว่า มนุษยชาติเคยเป็นหนึ่งเดียวกันในสเกลที่เล็กว่านี้ ด้วยนิทานเรื่องเล่าที่หลอกลวงให้ชาวกำแพงเข้าใจมาตลอดว่าเกาะคือที่มั่นสุดท้ายของมนุษยชาติ โดยมีไททันเป็นศัตรูหนึ่งเดียว จนเกิดเป็นความสามัคคีกลมเกลียว และกรณีนี้ก็เช่นกัน เป็นไปได้สูงว่า กรณีที่ทฤษฎีลูปเป็นจริง เมื่อเอเรนลองมาหลายวิธีแล้วไม่เวิร์ค หรือมองไม่เห็นว่าต้องทำอย่างไรโลกถึงจะเลิกหวาดกลัวลูกหลายยูมีร์ เขามองเห็นวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้โลกรู้สึกว่า พลังไททันน่ากลัวจริงๆ นั่นแหละ
แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือแม้แต่ชาวเอลเดีย (กลุ่มสหายฝึกรุ่นเดียวกันกับเอเรน) เอง ก็มีส่วนในการหยุดยั้งพิภพคำรามหรือสงครามมาเลย์ครั้งนี้ และที่เกิดขึ้นตามมาไม่ว่าเรื่องราวจะจบยังไง หรือสงครามตามแผนของเอเรนนี้ก่อให้เกิดการสูญเสียอะไรบ้าง สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่นอนคือ เอเรนคือปีศาจที่น่ากลัวที่สุด และทุกคนต้องร่วมใจกันหยุดเอเรน รวมถึงยังเป็นการสร้างความเข้าใจให้ชาวมาเลย์เองตระหนักด้วยว่า นี่คือผลของการที่ประเทศเขาส่งคนไปชิงพลัง และลงโทษชาวเอลเดียจากบาปที่พวกเขารุ่นปัจจุบันไม่ได้ก่อมาโดยตลอด บัดนี้ความโกรธเกลียดเหล่านั้นได้ย้อนกลับคืนมาแล้ว
4. เบาะแสจากภาพสเก็ตช์
อ.ฮาจิเมะ อิซายามะ (Hajime Isayama) ได้ปล่อยช่องสุดท้ายของ Attack on Titan ออกมาเพื่อบอกทุกคนว่าเขาได้เขียนเสร็จแล้ว ในช่องสุดท้ายนี้มีตัวละครหนึ่งที่เป็นผู้ชาย ผมยาวประมาณหนึ่ง กำลังอุ้มเด็กน้อยคนหนึ่ง และชายคนนี้พูดกับเด็กน้อยว่า “เป็นอิสระแล้วนะ” สิ่งที่น่าสนใจของภาพสเก็ตช์นี้ คือคำถามที่ว่า “เด็กในภาพนี้คือใคร?” และ “ใครคือชายที่กำลังอุ้มเด็กคนนี้อยู่?”
เมื่อดูจากลักษณะของตัวละครแล้ว ความเป็นไปได้มากที่สุดคือ
- เด็กคนนี้เป็น ‘ลูกในท้องของฮีสทอเรีย’ ไม่ก็ ‘เอเรนตอนเด็ก’
- คนอุ้มคือ ‘ฟาร์มเมอร์คุง’ ที่ในเรื่องบอกว่าเป็นพ่อของเด็กอยู่แล้ว ไม่ก็ ‘เอเรน’ ที่หลายคนเก็งว่าคือพ่อตัวจริงของลูกในท้อง หรือ ‘กรีช่า’ ที่กำลังอุ้มเอเรนอยู่
ซึ่งถ้าเป็นกรณีของเอเรน ไม่ว่าเขาจะเป็นทารกหรือคนที่อุ้มทารก อาจหมายความได้เหมือนกันว่าสงครามไททันและคำสาปแห่งยูมีร์ได้สิ้นสุดลงแล้ว และสิ่งที่สนับสนุนทฤษฎีนี้คือเมื่อนำประโยคนี้ (ที่มีโอกาสสูงที่จะเป็นชื่อตอนสุดท้าย) ไปต่อกับชื่อตอนแรก จะได้เป็น “To you, 2000 years from now, You are free” หรือก็คือความผิดบาปของบรรพบุรุษเอลเดียที่สร้างความเกลียดชังให้แก่โลกใบนี้มาเป็นเวลา 2 พันปี ได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่จะสิ้นสุดอย่างไรนั้น เป็นอะไรที่ยากที่จะคาดเดา ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดการณ์และชวนให้คิดตามสนุกๆ ซึ่งอาจถูกต้องหรือไม่ก็ได้
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ Attack on Titan จบได้คูลได้เจ๋งกว่าเดิม นอกจากทฤษฎีที่มีแนวโน้มเหล่านี้แล้ว คือกิมมิคที่แฝงอยู่ในการเลือกจังหวะจบที่มีแฟนๆ บนโลกอินเทอร์เน็ตสังเกตเห็นว่า ตอนจบตอนที่ 139 นั้นมีนัยสำคัญแฝงอยู่ ซึ่งประกอบไปด้วยเลข 13 (ช่วงอายุของผู้ถือครองพลังไททันนับตั้งแต่ได้รับพลัง) กับเลข 9 (ไททันทั้ง 9) และเมื่อนำเลข 1 + 3 + 9 จะ = 13 กับเมื่อนับช่วงเวลานับตั้งแต่มังงะเรื่องนี้เดบิวเมื่อปี 2009-2021 แบบรวมหัวท้ายแล้ว ก็จะได้ 13 ปีพอดิบพอดีอีกด้วย
นอกจากนี้ เลข 139 ยังเป็น angel number ที่มีความหมายถึง ‘จุดจบบางอย่าง’ กับ ‘จุดเริ่มต้นหรือการเกิดใหม่ของอีกอย่าง’ และยังสื่อความหมายถึงการเปลี่ยนแปลง ที่สามารถเป็นไปได้ทั้งในทางที่ถูกต้องและทางที่ผิดพลาดได้เช่นกัน เชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ attack on titan ตอน จบ