เอเรน เยเกอร์ อ.ฮาจิเมะ อิซายามะ (Hajime Isayama) ผู้แต่ง Attack on Titan กล่าวในการให้สัมภาษณ์เสมอเมื่อมีคนถามถึงนิยามผลงานชิ้นเอกของเขา ว่า Attack on Titan คือเรื่องราวของการทำสงครามด้วยวิธีที่แตกต่าง ตัวละครต่างก็มีมุมมองและเหตุผลเป็นของตัวเองที่ยากจะตัดสินว่าถูกผิด ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้มังงะและอนิเมะเรื่องนี้เป็นที่กล่าวขานนอกเหนือจากงานภาพที่ขึ้นชื่อ
จากคำพูดนี้จึงสามารถสรุปได้ว่าทั้งหมดคือเรื่องราวของตัวละครและวิธีการที่ตัวละครนั้นๆ จะใช้พลังที่ตัวเองถือครองอยู่ ไม่ว่าพลังไททัน พลังมนุษย์ พลังของกำลังพล กำลังของคน หรือพลังของเครื่องเคลื่อนที่สามมิติ และในเมื่อทุกอย่างนี้จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของพลัง ทำให้ความสำคัญมาตกอยู่ที่ตัวละคร และตัวละครที่มีความสำคัญที่สุดในเรื่องราวตอนนี้ของอนิเมะ Attack on Titan คือสองพี่น้อง เอเรน และซีค เยเกอร์ (Yeager Brothers)
แต่ถึงแม้ว่าทุกตัวละครส่งผลกับเนื้อเรื่องและมีความสำคัญแบบที่เรียกว่าเป็นเรื่องราวของทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งทหารโนเนมและคนที่ไม่ได้อยู่ในจอ เมื่อพูดถึงตัวแปรที่สำคัญที่สุด สองพี่น้องคู่นี้ดูจะมีสำคัญมาตั้งแต่ต้น บทความนี้เลยจะเป็นการชวนคิดวิเคราะห์ตามว่า ทำไมเรื่องราวแห่งมหากาพย์สงครามไททันนี้ถึงเป็นเรื่องราวของพี่น้องเยเกอร์มาตั้งแต่แรกและเป็นมาโดยตลอด และพวกเขาเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร
ซีค เยเกอร์ ชายผู้โดดเดี่ยวและแบกโลกทั้งใบไว้บนหลัง เอเรน เยเกอร์
เอเรน เยเกอร์ ซีค (Zeke) ลูกชายคนเดียวของไดน่า ฟริทซ์ (Dina Fritz) กับกรีช่า เยเกอร์ (Grisha Yeager) ผู้นำกองกำลังฟื้นฟูเอลเดีย เขาได้ผมสีทองมาจากแม่ แต่ก่อนที่จะพูดถึงตัวละครนี้อย่างลงลึกมากไปกว่านี้ อยากย้อนความไปซะหน่อยว่าในช่วงแรกนั้นสิ่งที่เรารับรู้เกี่ยวกับซีค (และจำได้ดี) เต็มไปด้วยความสงสัยและความโกรธแค้นเกลียดชังที่ อ.อิซายามะชี้นำ ซึ่งเราก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตามตัวละครและสถานการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อเกิดการปะทะกับตัวละครนี้
เขาเป็นชายใส่แว่นปริศนาเจ้าของพลังไททันที่ปาหินเอาๆ ซึ่งในตอนนั้นเรารู้จักกันในนามของ ‘ไททันอสูร (Beast Titan)’ หรือที่เรียกกันติดปากตามรูปลักษณ์ว่าไททันลิง ไททันสูงใหญ่หน้าตาและขนเหมือนลิงที่มีแรงขว้างมหาศาล และในการปรากฏตัวครั้งแรกเขาก็ฆ่ามิเกล (Michael) ตัวละครลูกน้องคนสนิทของเออร์วิน ตายอย่างโหดเหี้ยมแล้ว ซึ่งต่อมาตัวละครนี้ก็โผล่มาปาม้าปาหินถล่มปราสาทตอนที่ตัวละครหลักติดอยู่ในปราสาทร้างยามค่ำคืนอันเป็นเหตุให้ต้องเกิดความสูญเสียอีกรอบ
เรียกได้ว่าตั้งแต่การปรากฏตัวของไททันลิงเต็มไปด้วยความคาดเดาไม่ได้และน่าสะพรึงกลัว ยิ่งช่วงเวลานั้นคือช่วงเวลาที่ตัวละครบนเกาะต่างก็ไม่รู้ว่าความเป็นคืออะไร และพวกกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไรด้วยแล้ว มันไม่ต่างอะไรไปกับการต้องลอยเคว้งในใจกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีตัวอะไรใต้นั้นบ้างและจะถูกโจมตีเมื่อไหร่
ความเกลียดชังที่เรามีให้ซีคทวีคูณขึ้นหลายเท่าและเต็มขีดปรอทเมื่อเขาใช้ยุทธการโอบล้อมด้วยแผงไททันและเผด็จศึกความหวังเดียวของมนุษยชาติ ชี้ชะตาให้รู้แล้วรู้รอดที่เขตชิกันชินะ ผลลัพธ์คือเขาได้ปาหินสังหารทหารใหม่จำนวนมากอย่างโหดร้าย บีบให้เด็กๆ แห่งหน่วย 104 ที่ตอนนั้นเป็นทหารหน่วยสำรวจของลีไวแล้วต้องสู้จนอาร์มินเกือบต้องตาย (ซึ่งรอดมาในภายหลัง) และการสูญเสียที่นับว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุด คือการสูญเสียตัวละครผู้นำยอดเยี่ยมที่หลายคนยกให้เป็นตัวละครที่ดีที่สุดใน Attack on Titan อย่าง เออร์วิน สมิธ (Erwin Smith) หรือหากไม่ใช่ของใครบางคน ก็เชื่อว่าเป็น one of the best วินาทีนั้นที่เออร์วินถูกปาหิน จำได้ว่าน้ำตาไหลนองหน้า (ด้วยการบิวท์ด้วยประโยคที่ตะโกน การพากย์ที่ถึงอารมณ์ เสียง และภาพที่ทำได้ยอดเยี่ยมเหลือเกิน) และเมื่อมองดูเออร์วินร่วงจากหลังม้าพร้อมกับรูที่ท้อง ทันใดนั้นก็หันควับไปยังไททันลิงกับรีไวล์ (Levi) ที่โกรธเลือดขึ้นหน้าสุดๆ พร้อมกับพูดออกมาในใจว่า ‘ตายซะ’ แล้วก็สะใจเมื่อเขาถูกรีไวล์เอาชนะได้ในที่สุดด้วยการหั่นเป็นท่อนๆ ความสะใจพุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย
แต่เป็นความรู้สึกที่มาพร้อมกับความสงสัยว่าตัวละครนี้มีเหตุอะไรที่ต้องทำแบบนี้ ทำไมถึงดูมีความกระเสือกกะสนจะมีชีวิตรอดราวกับมีเป้าหมายบางอย่างที่ต้องทำ ไปจนถึงพี่แกไปเรียนไปฝึกขว้างปามาจากไหนถึงได้แม่นขนาดนี้ และยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีกที่ก่อนจะจากไปเขาขี่ไททันเกวียนแล้วพูดกับเอเรนว่า “วันหนึ่งฉันจะกลับมารับนาย รอหน่อยนะเอเรน”แน่นอนว่าความรู้สึกอยากให้เอเรนถามแทนตอนที่ได้ดูฉากนี้คือ ทำไมต้องกลับมารับ รับทำไมใครอยากไปด้วย และเขาเป็นอะไรกับเอเรน หลังจากที่ทุกคนได้ลงไปยังห้องใต้ดินบ้านเอเรน ความจริงก็ได้เปิดเผยว่าเขาคือลูกกรีช่ากับไดน่า และเป็นพี่ชายต่างแม่ของเอเรน เราได้รู้อดีตของซีคเพิ่มเติม แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้เราชอบซีคมากขึ้นเท่าไหร่ นอกจากเขาเป็นไททันลิงปาหินแล้ว เขายังมีความเป็นเด็กนรกที่ส่งพ่อแม่ให้ทางการมาเลอีกด้วย แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น เราได้เห็นความกดดันที่เกิดขึ้นกับตัวซีค เป็นแรงกดดันและความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อเขา ทำให้พอเข้าใจตัวละครนี้บ้างและรู้จักเขาเพิ่มขึ้น
แต่อย่างว่า เหมือนที่ได้เน้นย้ำบ่อยครั้งในหลายๆ บทความของคอลัมน์ Beyond the Wall นี้ Attack on Titan เป็นเรื่องของมุมมอง (Perspective) และมุมมองผ่านบุคคล (Point of View) ซึ่งที่ผ่านมาเราจะได้รับรู้เกี่ยวกับตัวซีคในเวอร์ชั่นไททันลิงผ่านหน่วยสำรวจ รีไวล์ และเอเรน มาถึงตอนนี้เราได้รับรู้ถึงวัยเด็กของซีคที่มาจากมุมแทนสายตาหรือมุมมองบุคคลที่ 1 ของพ่อของเขา กรีช่า อยู่ดี ซีคจึงได้รับความยุติธรรมจากการมีตอนเป็นของตัวเอง นั่นก็คือตอนที่มีชื่อว่า ‘Sole Salvation’ หรือการกอบกู้เพียงลำพัง ชื่อนี้เป็นชื่อที่นิยามความเป็นซีคและสิ่งที่ซีคทำมาโดยตลอด คือเขาแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว เรื่องราวในตอนนี้เป็นจิ๊กซอว์ที่ขาดหายไป และอุดช่องว่างที่เราไม่เคยรู้ว่ามีในเรื่องราวของ Attack on Titan เราได้รู้ว่า ซีคนั้นเป็นเด็กที่น่าสงสาร ที่ถูกกดดันในฐานะความหวังเดียวให้กอบกู้ความยิ่งใหญ่ของชาวเอลเดียคืนมา เขาไม่ได้ไปเล่นเหมือนเด็กคนอื่นๆ พ่อไม่ได้ให้เวลา หรือถ้าจะมีเวลาให้ก็คือตอนที่กรีช่าเอาแต่พร่ำสอน ยัดเยียดความเกลียดชังให้ฝ่ายตรงข้าม (ไม่ต่างกับที่กรีช่าเคยถูกพ่อทำแบบนี้มาก่อน แต่ตอนนั้นเอาแต่ด่าเผ่าพันธุ์ตัวเอง) และบอกเขาว่าเขาเกิดมามีหน้าที่อะไร คนอื่นคาดหวังอะไรในตัวเขา ฉากที่กรีช่าระเบิดโทสะใส่ซีคเป็นอีกหนึ่งฉากที่อนิเมะทำได้ค่อนข้างสะเทือนใจและแสดงถึงความหนักอึ้งที่ซีคต้องเผชิญมาตลอด
เด็กคนหนึ่งที่ต้องแบกรับอะไรไว้ขนาดนี้ แน่นอนเขาทนไม่ไหว แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่เขาส่งพ่อแม่ให้กับพวกมาเลและการเกลียดชีวิตกับทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่สาเหตุหรือความรู้สึกของซีคแม้ว่าเขาควรจะรู้สึกอย่างนั้น ซีคที่เป็นที่โหล่รั้งท้าย ไม่มีศักยภาพจะเป็นนักรบ แต่เขาได้พบกับ ทอม คซาเวอร์ (Tom Ksaver) ผู้ถือครองพลังไททันอสูรคนก่อนหน้าซึ่งเป็นไททันแกะ เขาเล่นเบสบอลกับคซาเวอร์ จากนั้นทั้งสองสนิทกัน คซาเวอร์แนะนำว่าซีคต้องแจ้งทางการให้จับพ่อแม่เพราะอย่างน้อยก็สามารถช่วยปู่ย่าไว้ได้ ทำให้เราเห็นว่าจริงๆ เขาทำสิ่งที่เขาต้องทำที่กรีช่าไม่มีวันรู้หรือเข้าใจ แต่ซีคจริงๆ แล้วไม่ได้ใช่เป็นคนที่เลวร้ายอะไรอย่างที่เรารู้จักเขาในตอนแรกเลย
นอกจากนี้เรายังได้รู้พร้อมกับคซาเวอร์ว่าซีคมีเป้าหมายยิ่งใหญ่ ที่ไม่ใช่เพื่อตัวเอง (ทั้งที่เขาควรจะเกลียดโลกใบนี้ไม่ต่างจากเอเรน) หรือเพื่อใครคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ ซึ่งสิ่งที่คิดว่าส่งผลกับความเป็นซีคไม่น้อยคือการที่เขาไม่ได้รู้สึกผูกพันกับใครมากขนาดนั้น คุณคซาเวอร์ก็ถูกเขากินไปแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาถูกสอนว่าโลกใบนี้โหดร้ายและในเมื่อเขามีความสามารถในมือที่จะเปลี่ยนมันได้ เขาจึงทำ ซีคคือคนที่มองในภาพใหญ่ (big picture) และมองว่าอะไรดีที่สุดสำหรับตอนนี้และโลกใบนี้ในอนาคตต่อไป ซีคไม่เคยคิดถึงตัวเอง เขาเป็นคนประเภทไม่เห็นแก่ตัว ที่ต้องการทำเพื่อมนุษยชาติด้วยวิธีการ ‘การุณยฆาต’ หรือจบสายพันธุ์เอลเดียและต้องการยุติสงครามแห่งความเกลียดชังด้วยการทำให้ทุกคนเป็นหมันและมีลูกไม่ได้อีกต่อไป จากนั้นโลกจะได้ไม่ต้องทำสงครามหรือหวาดกลัว เพราะมีชาวเอลเดียที่ย้ำเตือนพวกเขาถึงวีรกรรมในอดีตที่บรรพบุรุษได้ทำไว้
ในเมื่อบังคับให้คนเมื่อลืมไม่ได้ ให้อภัยไม่ได้ หรือสอนให้คนมีตรรกะเชื่อมโยงที่ถูกต้องและ critical thinking มากพอที่จะรู้ว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับรุ่นลูกหลานไม่ได้ เนื่องจากสมัยนั้นไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีการรณรงค์ และความคิดกับมุมมองต่อโลกของคนยังแคบ วิธีการนี้จึงเป็นการจบปัญหาที่สมบูรณ์ที่สุด วิธีการของซีคเป็นการแก้ปัญหาจากภายใน คือหากเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ ก็เปลี่ยนที่ตัวเราเอง พวกเราเอง แม้ในแง่หนึ่งจะดูไม่แฟร์ที่เขามีพลังไททันและใช้พลังนั้นกับอภิสิทธิ์ของสายเลือดราชวงศ์ทำตามใจในแบบที่ตัวเองคิดว่าดีโดยไม่ถามคนอื่นซักคำ แต่ในสถานการณ์ที่เป็นมาตลอดและกำลังเดือดระอุในตอนนี้ ทางเลือกนี้ดูเป็นทางเลือกที่คนดูคนอ่านหลายคน (รวมถึงผู้เขียนบทความ) เห็นด้วยไม่น้อยว่าเวิร์คที่สุดและสันติที่สุดในโลกของ Attack on Titan ณ เวลานี้ ทั้งหมดแค่ต้องการให้สองพี่น้องแตะตัวกันเท่านั้นเอง หากให้มาเจอกันง่ายๆ ก็จะไม่มีใครต้องเจ็บตัวจากเหตุการณ์นี้ซักคน และชาวเอลเดียที่ยังอยู่ก็จะมีชีวิตไปได้จนสิ้นอายุขัย
ความแฟร์ของซีคคือเขาไม่ใช่ว่าทำให้ชาวเอลเดียทุกคนเป็นหมันแล้วตัวเองจะมีอภิสิทธิ์สายเลือดราชวงศ์และมีลูกได้ หรือพอจบเรื่องแล้วเขาหวังจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ได้รับความดีความชอบ ตรงกันข้าม ซีคไม่ได้แคร์แม้ว่าเขาจะตายแต่การดิ้นรนของเขาเพียงเพราะต้องการทำให้แผนนี้สำเร็จลุล่วง ซึ่งดูเหมือนยูมีร์จะเอื้อให้ด้วยการช่วยปั้นเขากลับมาอีกรอบจากสายธาร (ในโลกความจริงคือส่งไททันมาช่วยฟื้นฟู)
ความน่าทึ่งคือเป็นเรื่องราวย้อนอดีตในหนึ่งตอนเท่านั้น หนึ่งตอนที่เปลี่ยนความรู้สึกที่เรามีต่อซีคไปโดยสิ้นเชิง จากความเกลียดกลายเป็นความเข้าใจ สำหรับผู้เขียนและหลายคน ซีคไม่เพียงแต่จะเป็นตัวละครโปรดตัวใหม่ของครึ่งหลังของเรื่องราว (หลังจากที่ครึ่งแรกคือเออร์วิน และแม้ว่าเขาจะฆ่าเออร์วินก็ตาม) แต่ยังพูดได้อย่างไม่เคอะเขินว่าคือตัวละครที่ดีที่สุดใน Attack on Titan ด้วยเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ บริสุทธิ์ รวมถึงมิติตัวละครกับสิ่งที่เขาต้องแบกไว้บนบ่ามาตลอดด้วยตัวคนเดียว เดินเกมคนเดียว รับความเสี่บงคนเดียว อยู่ท่ามกลางศัตรูมาตลอด ซึ่งเป็นอะไรที่น่าชื่นชมไม่น้อย
และในตอนล่าสุด หลังจากที่เขาเดินเกมอันตรายเพียงลำพัง ถูกเกลียด ถูกไว้ใจ เขาสร้างสถานการณ์ ขับเคลื่อนพาเหตุการณ์หนึ่งไปสู่เหตุการณ์หนึ่ง นำพาคนมาเจอกัน จนเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมและถูกที่ถูกทาง ซีคได้มารับน้องชายเขาตามที่เคยได้พูดไว้แล้วแล้ว
เอเรน เยเกอร์ จากพระเอกสายภาระ สู่วายร้ายมาดเข้ม
มาถึงพระเอกของเรากันบ้าง เอเรน เยเกอร์ (Eren Yeager) พระเอกที่กุมพลังไททันไว้ถึงสองตนด้วยกัน คือไททันบรรพบุรุษกับไททันจู่โจ่ม กับตอนนี้ที่ได้ไททันค้อนสงครามเพิ่มมาอีกหนึ่ง ซึ่งจะขอข้ามเรื่องพลังไททันของเอเรนกับเอเรนไว้ก่อนเพื่อพูดแยกแบบให้แอร์ไทม์เต็มที่คนเดียวในบทความเกี่ยวกับตัวละครนี้ในภายหลังอีกที เมื่อเนื้อหาเปิดเผยอะไรมากขึ้นแล้ว แต่จากหลายจุดของเรื่องราว เราจะเห็นได้ว่า เอเรนเป็นพระเอกแปลกๆ ประเภทที่ค่อนข้างจะไม่ได้เรื่องเท่าไหร่นัก นอกจากอุดหินที่เขตทรอสต์ในช่วงแรกๆ แล้วทำอะไรไม่ค่อยจะสำเร็จ สู้ก็แพ้ ชนะก็ไม่สมบูรณ์ ตัดสินใจก็พลาด เหมือนจะเท่ก็เท่ไม่เคยสุด ถูกแบกไปแบกมา คนอื่นต้องเดือดร้อนปกป้อง เป็นเป้าแย่งชิงตัวจนมีคนตายเพราะเขาไปมากมาย ช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นช่วงเวลาเดียวที่เราจะสามารถบูลลี่เอเรนได้
แต่หลังจากที่มีการ time skip เกิดขึ้น เอเรนไม่เพียงโตขึ้นจากเดิมหรือแค่ผมยาวขึ้น แต่เขายังแกร่งถึงขั้นทำอะไรโดยพลการ เป็นวัยรุ่นเอลเดียที่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมาย เขาบุกเดี่ยวไปยังประเทศมาเลแล้วค่อยขอความช่วยเหลือ และเมื่อพวกมาช่วยก็ทำให้เอเรนมั่นใจกว่าเดิม เขาโชว์การเติบโตของเขาด้วยการไม่ลังเล เฉียบขาด และไร้น้ำพริกแม่ปราณีให้เราเห็นเพื่อที่จะได้เลิกล้อประมาณว่า ‘I am the boy you bullied when I was a kid, now look at me’ เช่นในช่วงที่ฟัลโก้อยู่กับไรเนอร์ กับมีคนมากมายและวิลลี่ ไทเบอร์ ที่ดูจะค่าตัวแพงพูดอยู่ด้านบน เขาแปลงร่างโดยไม่สนหน้าสิ่วหน้าขวานจากตรงนั้นที่ชั้นใต้ดิน จากนั้นเขาก็นำไททันกรามมาใช้เป็นเครื่องคั้นน้ำแล้วบดเอาไททันค้อนสงครามมากิน ส่วนตอนเพื่อนๆ ด่าหรือใครจะว่ายังไง จะเห็นได้ว่าเอเรนดูจะไม่มีความรู้สึกอีกต่อไปแล้ว หรือจริงๆ ไม่มีความรู้สึกตั้งแต่ฉากน้ำทะเลตอนจบซีซั่น 3 แล้ว ที่เขามองออกไปแล้วมองว่า “แค่กำจัดทุกคนที่อยู่ข้างนอกนั่นเรื่องก็จะจบแล้วใช่มั้ย” เพราะเขารู้แล้วว่าสงครามคืออะไร และจะจบมันยังไง
ทีนี้มีเรื่องที่อยากโฟกัสคือสิ่งที่นำเอเรนมาถึงจุดนี้ได้คือคืออะไรกันแน่? และทั้งสองต่างกันอย่างไร? คำตอบนั้นคือ ‘โลกทั้งใบของเขา’ สองพี่น้องอาจมีสายเลือดเดียวกันแต่เอเรนแตกต่างกับซีค สำหรับซีคโลกทั้งใบคือโลกกลมๆ สีฟ้าและเขียวใบนี้ ในขณะที่สำหรับเอเรน เขาโตมาในกำแพง และในกำแพงนี้ ผู้คนที่เขารู้จัก พวกพ้อง มันคือโลกทั้งใบสำหรับเอเรนแล้ว เหมือนที่เรารู้กันดีว่า house กับ home มีความหมายต่างกันและhome คือความรู้สึกทางใจกับผูกพันกว่า และยิ่งเติบโตก็ยิ่งเรียนรู้ว่า home ทั้งคือผู้คนที่เราอยู่ด้วยไม่ใช่แค่สถานที่ ฉะนั้น home ของเอเรนในที่นี้เขาไม่ได้แคร์ว่ากำแพง ต้นแม้ แม่น้ำ หรือห้องเรียนจะเป็นยังไง เขาแคร์ผู้คนที่เขาเติบโตมาด้วยโดยเฉพาะเพื่อนๆ จากหน่วยฝึก 104
อันที่จริงทั้งซีคและเอเรนนับว่ามองในภาพกว้างกับทั้งคู่ ทั้งสองคนเล็งผลลัพธ์ไปที่สเกลระดับโลกเหมือนกัน แต่คำว่า ‘โลกทั้งใบ’ ของทั้งสองคนต่างกัน สำหรับซีคโลกทั้งใบคือโลกทั้งใบ ส่วนสำหรับเอเรนโลกทั้งใบคือเกาะ และในเมื่อโลกทั้งใบของเอเรนเป็นภัย เอเรนรู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของเขาคืออะไร เขาจึงจะปกป้องสิ่งนั้นไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม และเขาก็เหมือนซีค เขาคือคนมีอำนาจที่กุมกุญแจไว้ในมือ ส่วนซีคคือแม่กุญแจ และบรรพบุรุษยูมีร์ในสายธารคือรูกุญแจ เอเรนหลอกใช้ซีคและไม่เห็นด้วยกับแผนการุณยฆาตในตอนล่าสุด ‘Two Brothers’ นั่นหมายความว่าเขาจะใช้พลังที่มาจากการแตะตัวนี้ดำเนินตามแผนตัวเอง นั่นก็คือเรียกไททันมหึมาในกำแพงมาถล่มโลกให้ยับเยิน ขู่ด้วยความกลัว ให้เข็ด เพื่อที่จะได้ไม่มีใครก็ตามกล้ามายุ่งกับบ้านเกิดเขาอีก หรือวิธีการของเอเรน = มีมคนผิวสี 200 iq เอานิ้วชี้จิ้มขมับบนอินเทอร์เน็ต ที่มาพร้อมกับแคปชั่น “ถ้าโลกของผมคือโลกในเกาะนี้ และมีโลกอื่นอยู่ข้างนอกนั่น แถมยังเป็นภัยกับโลกของผม แค่ทำให้โลกข้างนอกหายไป เกาะก็จะเป็นโลกทั้งใบที่มนุษย์อาศัยอยู่จริงๆ แล้ว”
จึงกล่าวได้ว่า เรื่องราวใน Attack on Titan ตั้งแต่เปิดเรื่องจะเป็นของสองพี่น้องมาโดยตลอดในฐานะผู้ถือกุญแจสำคัญมาตั้งแต่ต้น (ไม่นับแฟลชแบ็คของพ่อ) ณ จุดนี้ของเรื่องราวมีเพียงคนสองคนที่จะเป็นผู้ชี้ขาดว่าโลกจะมีชะตากรรมอย่างไร แถมยังไปคุยกันเองสองคนมาตลอดด้วย ตั้งแต่เริ่มร่วมมือกันที่มาเลยันแตกคอกันและพระเอกของเราต้องการจะกดปุ่ม ‘นิวเคลียร์ล้างโลก’ ในสายธาร
หลังจากที่เหมือนร่วมมือกันมา ทั้งสองคนถึงทางแยกเมื่อไม่ได้เชื่อในสิ่งเดียวกันหรือวิธีการเดียวกัน เพียงแต่ซีคซื่อสัตย์กับแผนการ ความตั้งใจ และทำสิ่งที่พูด ส่วนเอเรนที่ดูเหมือนจะทรยศใช้แผนตลบหลัง จริงๆ ก็เพราะเขามีแผนสำหรับโลกใบนี้แล้วและยังยึดมั่นจะทำสิ่งเดิม ซื่อสัตย์กับวิธีการตัวเอง ไม่เขวเช่นกัน (ซึ่งดูจากวิธีการแล้วไม่แปลกที่ตอนนี้จะดูเป็นวายร้าย)
บทสนทนาและขอบเหวแห่งการตัดสินใจที่เกิดขึ้นในที่ลับตาคนทั้งโลกนี้ยังบ่งบอกหรือสะท้อนความเป็นจริงด้วยว่าผู้มีอำนาจมักจะคุยกันเองและในหลายๆ ครั้งเรื่องใหญ่ๆ ที่เกิดผลกระทบกับคนหมู่มาก สามารถเกิดขึ้นได้เพียงเพราะคนมีอำนาจสูงสุดประชุมกันในที่ลับๆ เหมือนการที่คนเหล่านั้นไม่ได้ฟังความเห็นของคนที่จะได้รับผลกระทบด้วย ฉะนั้นไม่เพียงแค่ซีค เอเรนเองก็ไม่ได้ถามเพื่อนเขาที่ตัวเองกำลังปกป้องเหมือนกันว่าต้องการให้เขาทำสิ่งที่ทำอยู่และกำลังจะทำหรือไม่
สุดท้ายแล้วเมื่อมองไปที่สิ่งที่พวกเขาทั้งสองกำลังทำและวาดออกมาเป็นภาพ สองพี่น้องเยเกอร์ คือคนสายเลือดเดียวกันสองคนที่จะเปลี่ยนโลกทั้งใบด้วยมือของตัวเองในวิถีทางที่ตัวเองเชื่อ สองคน สองอุดมการณ์ คนหนึ่งถือโลกไว้ข้างบนแล้วมองหาวันวางมันลงมาแบบเบาๆ ทะนุถนอม ส่วนอีกคนแบกลูกโลกไว้ข้างหลัง และไม่สนว่าตัวเองจะย่ำอะไรแบน หรือเหยียบอะไรจม ซึ่งก็น่าคิดเช่นกันว่าซีคคิดว่าในขณะที่ซีคคิดว่าวิธีการนี้ดีที่สุดแล้ว เอเรนมองว่าของเขาดีที่สุดหรือไม่ หรือรู้ว่ามันไม่ได้ดีแต่ในเมื่อเชื่อว่าจะเปลี่ยนโลกด้วยวิธีนี้แล้วยึดกับวิธีการของเขา
แต่สิ่งหนึ่งที่อยากย้ำเตือนคือ เราได้เห็นทุก PoV และทุกเรื่องราวย้อนอดีตของทุกตัวละครสำคัญแล้วก็จริง รวมถึงเรื่องราวของเอเรนตั้งแต่เด็กจนถึงจบซีซั่น 3 แต่ยังไม่มีใครรู้ว่าเอเรนเวอร์ชั่นนี้ที่โตขึ้นในซีซั่น 4 ต้องการอะไรกันแน่ อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงที่เขาทำทุกอย่างนี้ และอะไรคือเป้าหมายสูงสุด มันคงยากที่จะตัดสินว่าเขาเป็น ‘วายร้ายตัวจริง’ และเรื่องราวนี้จะจบลงไม่ได้จนกว่าจะได้รับรู้มุมมองนี้ของเขา ในเมื่อทั้งหมดคือเรื่องของมุมมองและวิธีการตอบสนองต่อสงครามมาโดยตลอด เอเรน เยเกอร์